15 มกราคม 2553

India's Kite Festival



ว่าว เป็นของเล่นชนิดหนึ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้ลอยอยู่ในอากาศได้ด้วยแรงลมและมีสายป่านคอยบังคับให้ลอยอยู่ในทิศทางที่ต้องการ โดยเริ่มจากประเทศจีนโดยใช้ไม้ไผ่และผ้าไหมเป็นอุปกรณ์ ต่อมาได้ประดิษฐ์ว่าวในหลายรูปแบบตามวัฒนธรรมของหลายประเทศ

ว่าวคือ เครื่องเล่นรูปต่างๆ มีไม้เบาๆเป็นโครงแล้วปิดด้วยกระดาษหรือผ้าบางๆ ปล่อยให้ลอยตามลมขึ้นไปในอากาศโดยมีสายเชื่อหรือป่านยึดไว้

ว่าวมีเล่นกันในหลายประเทศทั้งในจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ไทยและยุโรป ในอดีตที่ผ่านมาการเล่นว่าวเป็นไปเพื่อความบันเทิงและเป็นความเชื่อทางศาสนา ประเพณี หรือ การใช้ประโยชน์อย่างอื่นด้วยแต่ในปัจจุบันเป็นเพียงการละเล่น หรือกีฬาเพื่อความสนุกสนานและเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ

บนท้องฟ้าของเมืองพาราณสีในช่วงเดือนธันวาคมเป็นต้นมาจนถึงเดือนมกราคมช่างดูมีสีสันเหลือเกิน เพราะเป็นช่วงที่คนอินเดียจะนิยมนำว่าวมาเล่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแถวท่าอัสสี ริมแม่น้ำคงคา ลานกว้างๆ สนามฟุตบอลในมหาวิทยาลัย ตามท้องถนน หรือไม่เว้นแม่กระทั่งบนดาดฟ้าของแต่ละบ้าน ก็จะเห็นผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ออกมาเล่นว่าวกันอย่างสนุกสนาน มองดูแล้วก็เป็นภาพที่ดูแปลกตาเพราะโดยปรกติ บ้านเราจะเล่นว่าวกันในช่วงหน้าร้อนเพราะจะมีลมแรง หรือบางครั้งก็คนเล่นว่าวกันตามชายหาด แต่ที่อินเดียถึงแม้อากาศจะหนาวแต่ลมไม่แรง คนอินเดียสามารถเล่นว่าวกันได้เกือบทุกที่ และเป็นที่นี่ยมกันเป็นอย่างมาก โดยสังเกตได้จากว่าวที่ขาดติดอยู่บนสายไฟตามข้างทาง มีมากมายจนน่าตกใจ ถ้าเป็นบ้านเราการไฟฟ้าคงปวดหัว และวันที่14 มกราคมของทุกปีก็ถือว่าเป็น วันIndia's Kite Festival หรือเทศกาลเล่นว่าว และในเช้าวันนี้ วันที่14 มกราคม คนอินเดียก็จะตื่นกันมาเล่นว่าวกันบนดาดฟ้า จะได้ยินเสียงตะโกนและเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

รูปแบบของว่าวที่เห็นคนอินเดียเล่นโดยทั่วไป จะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม สีสันก็ตกแต่งไม่มาก บางทีก็มีรูปดาราที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนั้นติดอยู่ แต่ที่ประทับใจคือที่พันด้ายของอินเดียดูคลาสสิคมากๆ ด้ายก็เป็นเอ็นเส็นเล็กๆมีสารพัดสีสันแล้วแต่ความชอบของผู้เล่น

เห็นแล้วนึกถึงว่าวที่เล่นอยู่ทั่วไปแถวบ้านเรามีสารพัด ไม่ว่าจะเป็นว่าวงูหางยาวเฟื้อย ว่าวจุฬา ว่าวปักเป้า ว่าวกล่อง(เคยเห็นพ่อทำไว้เล่นเองตัวใหญ่เกือบเท่าคนเลย) และว่าวดุ๊ยดุ่ย (พ่อเคยไปซื้อมาจากชัยภูมิ)เสียงดังแปลกดี คิดไว้เหมือนกันว่าถ้ามีโอกาสจะหาซื้อแล้วเอามาเล่นที่นี่ให้แขกเค้าแปลกใจเล่นกับภูมิปัญญาของคนที่บ้านเรา

ว่าว ภาษาฮินดี คือ ปาตั้ง / ภาษาอังกฤษ คือ Kite

อ้างอิง
http://www.panyathai.or.th
http://www.flickr.com
ถ้าถ่ายรูปที่สวยถูกใจได้จะเอามาเปลี่ยนให้ดูกันค่ะ

02 มกราคม 2553

มะขามป้อม...เมืองพาราณสี



มะขามป้อม
ชื่อวิทย์ศาสตร์ Phyllanhus emblica Linn.
ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE
ชื่อสามัญ Emblic Myrabolan, Malacca Tree,
Indian Gooseberry,Amala Plant, Amalak Tree
มะขามป้อม ภาษาอังกฤษ คือ emblica(เอมบริก้า)
มะขามป้อม ภาษาฮินดี คือ อาวล่า
มะขามป้อมเชื่อม ภาษาฮินดี คือ อาวล่าจาด

มะขามป้อม เป็นผลไม้เก่าแก่ ที่คนเฒ่าคนแก่จะรู้จักและตระหนักถึงคุณค่าของ
มะขามป้อม เป็นอย่างดี ว่ากันว่าชนชาติที่รู้จัก มะขามป้อม
มาช้านาน และแพร่หลายมากที่สุดในโลกเห็นจะได้แก่อินเดีย
ซึ่งให้ความนับถือมะขามป้อมมากถึงกับขนานนาม
มะขามป้อม ว่าเป็นพยาบาลที่ดูแลสุขภาพอยู่ข้างกายอีกนัยหนึ่งก็เปรียบเสมือนแม่
ที่ดูแลรักษาลูกอยุ่เสมอ นอกจากนั้นยังมีการเล่าขานกันว่า

เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลายฉัน มะขามป้อม เป็นโอสถได้

ลักษณะ มะขามป้อมเป็นพรรณไม้ยืนต้น ขนาดสูงประมาณ 7-15 เมตร
ลำต้นมีเปลือกเรียบเกลี้ยง ลอกออกเป็นแผ่นๆ
ใบ ใบเดี่ยวเรียงชิดติดกันคล้ายขนนก ปลายใบยาวรี สีเขียวแก่ ยาวประมาณ 1 ซ.ม.

ดอก ออกดอกเป็นช่อหรือเป็นกระจุก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันอยู่
บนต้นเดียวกัน หนึ่งดอกมีกลีบดอกประมาณ 5-6 กลีบ มีสีเหลืองอมเขียว
ผล รูปร่างกลม ผิวเกลี้ยง เนื้อหนา รสฝาด เปลือกแบ่งเป็นสันความยาว 6 ซ.ม.
ภายในเนื้อ มีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ 6 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ ใบ เปลือกลำต้น ผล ปมที่ก้าน ราก

สรรพคุณทางยาสมุนไพร
รากแห้งของมะขามป้อม ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ท้องเสีย แก้โรคเรื้อน ลดความดันโลหิต

รากสดมะขามป้อม นำมาพอกแผลเมื่อโดนตะขาบกัด สามารถแก้พิษได้

เปลือกลำต้นมะขามป้อม ใช้เปลือกแห้งบดเป็นผง โรยบาดแผลหรือนำมาต้มดื่มแก้โรคบิด
และฟกซ้ำ

ปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากแก้ปวดฟัน โดยนำปมก้าน 10-30 อันมาต้มกับน้ำแล้วใช้อม
หรือดื่มแก้ปวดท้องน้อย กระเพาะอาหาร แก้ปวดเมื่อยกระดูก แก้ไอ แก้ตานซางในเด็ก

ผลมะขามป้อมสด ใช้รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น
ยังเป็นยาบำรุง แก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย รักษาคอตีบ
รักษาเลือกออกตามไรฟัน หรือจะนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ

ผลมะขามป้อมแห้ง นำมาบดชงน้ำร้อนแบบชาดื่มแก้ท้องเสีย โรคหนองในบำรุงธาตุ
รักษาโรคบิด ใช้ล้างตา แก้ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด ใช้เป็นยาล้างตา
หรือจะผสมกับน้ำสนิมเหล็กแก้โรคดีซ่าน โลหิตจาง

เมล็ด นำมาเผาไฟจนเป็นเถ้าผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้ตุ่มคัน หืด
หรือตำเป็นผงชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบ รักษาโรคตา
แก้คลื่นไส้ อาเจียนคุณค่าทางอาหาร

มะขามป้อมมีรสชาติถึง 5 รสด้วยกัน คือ เปรี้ยว หวาน เผ็ดร้อน ขม ฝาด ถือได้ว่า
ทุกส่วนของมะขามป้อม มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเราทั้งสิ้น ในมะขามป้อม 1 ผล
มีวิตามินซีสูงถึง 700-100 มิลลิกรัม มะขามป้อมนับว่า เป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง
ทางที่ดีเราควรหันมาบริโภคมะขามป้อม เป็นยาบำรุงและบำบัดโรคกันเถอะ วิธีง่ายๆ
โดยวิธีทำเป็นมะขามป้อมกวนหรือลูกอมก็ได้ ถือเป็นการส่งเสริมสมุนไพรไทยอีกทางหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าในมะขามป้อมนั้น มีแคลเซียมสูงมาก ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
และยังมีวิตามินซี ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

และเมื่อมาพารณสีก็จะเห็นได้ว่ามะขามป้อมสดที่นี่ มีขนาดใหญ่มาก รสชาดก็ไม่ฝาด
สามารถนำมาจิ้มพริกเกลือและน้ำตาล ก็อร่อยดี

มะขามป้อมที่เมืองพาราณสีผลสดจะอยู่ที่ราคาประมาณ กิโลกรัมละ 20 รูปี แต่นอกจาก
จะทานผลสดแล้วก็ยังมีแบบแช่อิ่มที่บรรจุอยู่ในโหลราคาโหลละประมาณ 100 รูปี
และยังมีแบบเชื่อมแห้งราคาประมาณ 65 รูปี แต่ทั้งแบบแช่อิ่มและแบบเชื่อมแห้งที่กล่าวมานั้น
ยังไม่ได้ลองซื้อมาชิมดู แต่ก็คิดไว้ว่านี่ก็น่าจะเป็นของฝากที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของเมืองนี้

อ้างอิง
http://www.lifestyle.kingsolder.com ,elib-online.com

01 มกราคม 2553

ริมแม่น้ำคงคา...เที่ยวท่าอัสสี




ท่าอัสสีที่ใครๆรู้จักมีชื่อเต็มๆว่า อัสสี ฆาต (Assi Ghat)
ท่าน้ำแห่งนี้อยู่ทางทิศใต้ของเมืองพาราณสี อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัย B.H.U.ประมาณ 1 กิโลเมตร
ท่าอัสสี ถือว่าเป็นท่าน้ำที่มีความสำคัญมากอีกแห่งหนึ่ง เพราะจัดอยู่ใน ปัญจตีรถะ ซึ่งหมายถึงสถานที่แสวงบุญ 5 แห่ง
อันได้แก่ ท่าอัสสี , ท่าทัศอัศวเมธ , ท่ามณิกรรณิกา, ท่าปัญจคงคาและท่าอธิเกศวร
ที่เรียกชื่อว่า อัสสี เพราะตั้งตามชื่อแม่น้ำที่ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำคงคา ณ ท่าแห่งนี้

มีตำนานที่บันทึกการกำเนิดของแม่น้ำอัสสีไว้ว่า หลังจากที่ พระแม่ทุรคา ได้ปราบอสูร ชุมภะนิชัมภะ แล้วพระนางได้ขว้างดาบเล่มนั้นทิ้งไป ทำให้ดาบตกลงสู่พื้นโลก ณ ที่ดาบตกลงนี่เองทำให้เกิดเป็นแม่น้ำอัสสีขึ้น

ชาวฮินดูเชื่อกันว่า ถ้าได้มาอาบน้ำชำระล้างบาปที่ท่านี้ จะเกิดบุญมหาศาลเทียบเท่ากับการแสวงบุญ ตามเทวาลัยอันศักดิ์สิทธิ์ทั่วเมืองพาราณสี ท่าน้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1988 โดยกษัตริย์เมืองพาราณสี
ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ท่าอัสสีในตอนนี้ช่างดูสงบเหลือเกิน
มีผู้คนบ้างก็มานั่งทอดอารมณ์จิบน้ำชา ดูสายน้ำที่เงียบสงบ ในช่วงเดือนนี้อากาศค่อนข้างหนาวแล้ว แต่ก็ยังคงเห็นภาพที่นักบวชบางรูปลงแช่น้ำอย่างสบายใจ

แต่สำหรับชาวต่างชาติอย่างเราที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับสภาพอากาศหนาว (อุณหภูมิในตอนกลางวันประมาณ 14 องศา)คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการมานั่งตากแดดอุ่นๆ กินขนม ไปเพลินๆ(เลย์รสคลาสสิคสักถุง รสอื่นยังไม่กล้าเสี่ยง เมาเท่นดิวอีกสักขวดตอนนี้ที่เมืองไทยหาดื่มคงไม่ได้แล้วไม่น่าจะมีขาย อิอิ)
แต่อย่าเพลินจนลืมแบ่งขนมให้กับเหล่าบรรดาลูกแพะและพ่อแม่แพะที่เดินหาของกินอยู่แถวนั้น ขอบอกว่าจับเล่นได้

อ้างอิง
หนังสือวาราณสี มินิอินเดีย