17 กุมภาพันธ์ 2554
16 กุมภาพันธ์ 2554
ดูหนังที่อินเดีย
วันวาเลนไทน์ปีนี้ได้มีโอกาสไปดูหนังกะเค้าซะที หลังจากเลิกเรียน
ประมาณ 6 โมงเย็น ก็ตรงไปที่ ห้างIP Mall Sigra Varanasi ห้างนี้อยู่ห่างจาก BHU ประมาณ 8 กิโลเมตรน่าจะได้ แต่ที่ชอบไปห้างนี้เพราะได้ไปหาอะไรทานที่ McDonald's ด้วย
ก่อนอื่นก็ไปดูรอบหนังและซื้อตั๋วหนังกันก่อน ที่ซื้อตั๋วหนังของห้างนี้จะอยู่ข้างหน้า ด้านนอกของห้างจะเขียนว่า BOX OFFICE ก็เข้าไปซื้อได้เลย ถ้ายังไม่รู้จะดูเรื่องอะไรเค้าก็จะมีโปรแกรมเล็กๆแจกให้
หลังจากดูโปรแกรมแล้วเรื่องที่อยากดูก็่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก เพราะจะดูให้เข้ากับเทศกาล...ประมาณนั้นเวลาฉายก็ 2 ทุ่มพอดีไม่ดึกมากเกินไป ตอนซื้อตั๋วก็บอกคนขายว่าจะดูเรื่อง Angel (เป็นหนังอินเดีย)
คนขายที่เหมือนภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะแข็งแรงซักเท่าไหร่ ก็ทำท่าเหมือนงง เราก็เลยงงปนเสียดายว่าที่นั่งคงจะเต็มหมดแล้ว หลังจากคนขายกดโทรศัพท์ถามใครบางคนก็สรุปว่ามีตั๋ว ราคาตั๋ว(เลือกที่นั่งหลังสุด) รวมภาษีแล้วราคา 150 รูปี พอซื้อตั๋วเสร็จก็จะไปรอที่ไหนไม่ได้นอกจากไปรอในร้าน McDonald's ดีกว่า ก่อนเข้าห้างที่อินเดียทุกครั้งจะต้องมีการตรวจกระเป๋าก่อนโดยหน้าประตูจะมียามผู้ชายคนนึงผู้หญิงคนนึงคอยยืนตรวจกระเป๋า และคอยถามว่าสูบบุหรี่รึเปล่าเพราะเค้าห้ามนำบุหรี่เข้าไปสูบในห้างด้วย
บรรยากาศในร้าน Mc ก็เหมือนบ้านเรา อาหารในร้านก็จะมีทั้งแบบ veg และ non-veg เพราะบางคนไม่ทานเนื้อสัตว์ ราคาอาหารก็พอๆกับบ้านเราแต่ตัวเลขอาจจะดูแพงกว่าเพราะคิดเป็นเงินรูปี
เช่น เซ็ต นักเกต 9 ชิ้น มีมันฝรั่งทอด กับโค๊กขนาดกลาง ก็ราคา 159 รูปี ยังไม่รวมภาษี
ได้เวลาแล้วก็ไปดูหนังกันเลย ก่อนเข้าไปบริเวณที่ดูหนังก็ยังมีพนักงานตรวจอีก ตรวจแม้แต่กระเป๋าเงิน โห! งงเหมือนกัน
พอเข้าไปด้านในบรรยากาศในโรงหนังเหมือนบ้านเรานั่นแหละ เก้าอี้นุ่มสบายปรับได้ ได้เวลาหนังฉายแล้ว ไม่มีโฆษณาใดๆทั้งสิ้น มีรูปพระพิคเณศวร์ขึ้นบนจอ แล้วก็เริ่มเรื่องเลย
หนังที่ดูเป็นหนังรักโรแมนติก ภาษาฮินดี ก็ที่นี่อินเดียนี่นา ดูภาพไปจับใจความพอรู้เป็นบางคำ ก็ซึ้งดี ชอบเหมือนกัน และสไตล์หนังแขกก็มีทั้งร้อง ทั้งเต้น ดาราแขกนี่ต้องยอมรับเค้าเลย ว่า เค้าร้อง เค้าเต้นกันเก่งจริงๆ แต่นับคนดูทั้งหมดรวมคนเดินตั๋วด้วย ในโรงมีคนดู 8 คน คนเดินตั๋ว 1 คน จะคุ้มทุนมั้ยเนี่ย แต่ตอนซื้อตั๋วคนเยอะเลยนะ สงสัยแขกจะไปดูหนังบู๊กันหมด เพราะอีกโรงเค้าฉายหนังบู๊ สำหรับโรงหนังอินเดียพอฉายหนังไปได้ครึ่งเรื่อง จะมีการพักประมาณ 10 นาที (งงว่าจะพักทำไมมันขาดช่วง) และในช่วงนั้นก็จะมีคนมาคอยถามว่าเอาพิซซ่ารึเปล่า
พิซซ่าคอร์เนอร์ บริการถึงที่ สั่งได้ 5 นาทีมาส่ง หลังจากนั้นก็ฉายหนังต่อ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาดูหนัง โรงหนังอินเดียจะต่างจากบ้านเราคือจะมีพักครึ่ง
ให้สั่งพิซซ่าได้ด้วย เหมือนกันทุกที่เลย เราอาจจะว่าแปลกแต่แขกเค้าว่าธรรมดาจ้า...
หนังจากบ้านเราก็มีมาฉายที่นี่เหมือนกันเช่น เรื่อง ต้มยำกุ้ง องค์บาก คนไฟบิน เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่เป็นที่นิยมน่าจะเป็นหนังบู๊ พากษ์เป็นภาษาฮินดี ก็เป็นที่ชื่นชอบของคนอินเดียเป็นอย่างมาก คนมารอซื้อตั๋วกันจนแน่น น่าภูมิใจกับหนังไทยด้วยจริงๆ
รูปจาก
http://www.google.com/
ประมาณ 6 โมงเย็น ก็ตรงไปที่ ห้างIP Mall Sigra Varanasi ห้างนี้อยู่ห่างจาก BHU ประมาณ 8 กิโลเมตรน่าจะได้ แต่ที่ชอบไปห้างนี้เพราะได้ไปหาอะไรทานที่ McDonald's ด้วย
ก่อนอื่นก็ไปดูรอบหนังและซื้อตั๋วหนังกันก่อน ที่ซื้อตั๋วหนังของห้างนี้จะอยู่ข้างหน้า ด้านนอกของห้างจะเขียนว่า BOX OFFICE ก็เข้าไปซื้อได้เลย ถ้ายังไม่รู้จะดูเรื่องอะไรเค้าก็จะมีโปรแกรมเล็กๆแจกให้
หลังจากดูโปรแกรมแล้วเรื่องที่อยากดูก็่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก เพราะจะดูให้เข้ากับเทศกาล...ประมาณนั้นเวลาฉายก็ 2 ทุ่มพอดีไม่ดึกมากเกินไป ตอนซื้อตั๋วก็บอกคนขายว่าจะดูเรื่อง Angel (เป็นหนังอินเดีย)
คนขายที่เหมือนภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะแข็งแรงซักเท่าไหร่ ก็ทำท่าเหมือนงง เราก็เลยงงปนเสียดายว่าที่นั่งคงจะเต็มหมดแล้ว หลังจากคนขายกดโทรศัพท์ถามใครบางคนก็สรุปว่ามีตั๋ว ราคาตั๋ว(เลือกที่นั่งหลังสุด) รวมภาษีแล้วราคา 150 รูปี พอซื้อตั๋วเสร็จก็จะไปรอที่ไหนไม่ได้นอกจากไปรอในร้าน McDonald's ดีกว่า ก่อนเข้าห้างที่อินเดียทุกครั้งจะต้องมีการตรวจกระเป๋าก่อนโดยหน้าประตูจะมียามผู้ชายคนนึงผู้หญิงคนนึงคอยยืนตรวจกระเป๋า และคอยถามว่าสูบบุหรี่รึเปล่าเพราะเค้าห้ามนำบุหรี่เข้าไปสูบในห้างด้วย
บรรยากาศในร้าน Mc ก็เหมือนบ้านเรา อาหารในร้านก็จะมีทั้งแบบ veg และ non-veg เพราะบางคนไม่ทานเนื้อสัตว์ ราคาอาหารก็พอๆกับบ้านเราแต่ตัวเลขอาจจะดูแพงกว่าเพราะคิดเป็นเงินรูปี
เช่น เซ็ต นักเกต 9 ชิ้น มีมันฝรั่งทอด กับโค๊กขนาดกลาง ก็ราคา 159 รูปี ยังไม่รวมภาษี
ได้เวลาแล้วก็ไปดูหนังกันเลย ก่อนเข้าไปบริเวณที่ดูหนังก็ยังมีพนักงานตรวจอีก ตรวจแม้แต่กระเป๋าเงิน โห! งงเหมือนกัน
พอเข้าไปด้านในบรรยากาศในโรงหนังเหมือนบ้านเรานั่นแหละ เก้าอี้นุ่มสบายปรับได้ ได้เวลาหนังฉายแล้ว ไม่มีโฆษณาใดๆทั้งสิ้น มีรูปพระพิคเณศวร์ขึ้นบนจอ แล้วก็เริ่มเรื่องเลย
หนังที่ดูเป็นหนังรักโรแมนติก ภาษาฮินดี ก็ที่นี่อินเดียนี่นา ดูภาพไปจับใจความพอรู้เป็นบางคำ ก็ซึ้งดี ชอบเหมือนกัน และสไตล์หนังแขกก็มีทั้งร้อง ทั้งเต้น ดาราแขกนี่ต้องยอมรับเค้าเลย ว่า เค้าร้อง เค้าเต้นกันเก่งจริงๆ แต่นับคนดูทั้งหมดรวมคนเดินตั๋วด้วย ในโรงมีคนดู 8 คน คนเดินตั๋ว 1 คน จะคุ้มทุนมั้ยเนี่ย แต่ตอนซื้อตั๋วคนเยอะเลยนะ สงสัยแขกจะไปดูหนังบู๊กันหมด เพราะอีกโรงเค้าฉายหนังบู๊ สำหรับโรงหนังอินเดียพอฉายหนังไปได้ครึ่งเรื่อง จะมีการพักประมาณ 10 นาที (งงว่าจะพักทำไมมันขาดช่วง) และในช่วงนั้นก็จะมีคนมาคอยถามว่าเอาพิซซ่ารึเปล่า
พิซซ่าคอร์เนอร์ บริการถึงที่ สั่งได้ 5 นาทีมาส่ง หลังจากนั้นก็ฉายหนังต่อ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาดูหนัง โรงหนังอินเดียจะต่างจากบ้านเราคือจะมีพักครึ่ง
ให้สั่งพิซซ่าได้ด้วย เหมือนกันทุกที่เลย เราอาจจะว่าแปลกแต่แขกเค้าว่าธรรมดาจ้า...
หนังจากบ้านเราก็มีมาฉายที่นี่เหมือนกันเช่น เรื่อง ต้มยำกุ้ง องค์บาก คนไฟบิน เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่เป็นที่นิยมน่าจะเป็นหนังบู๊ พากษ์เป็นภาษาฮินดี ก็เป็นที่ชื่นชอบของคนอินเดียเป็นอย่างมาก คนมารอซื้อตั๋วกันจนแน่น น่าภูมิใจกับหนังไทยด้วยจริงๆ
รูปจาก
http://www.google.com/
09 กุมภาพันธ์ 2554
เครื่องดนตรีอินเดีย...Veena
Veena เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีดชนิดหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดีย ทำจากไม้ และตกแต่งด้วยทองเหลืองหรือโลหะ
มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร เป็นรูปทรงกลมคอกว้างมีขนาดใหญ่ ด้านปลายจะแกะสลักเป็นรูปหัวมังกร
สายที่ใช้ดีดทำจากโลหะมีระดับเสียง 8 ระดับ ผู้บรรเลงอาจนั่งไขว่ห้าง หรืออาจนั่งบรรเลงกับพื้นก็ได้
Veenaเป็นสัญลักษณ์ของ Saraswati เทพเจ้าที่ชาวฮินดูเคารพและศรัทธาว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความรู้
Veena มีแหล่งกำเนิดจากทางตอนใต้ของอินเดีย เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงได้ทั้งบรรเลงเดี่ยว และใช้บรรเลงประกอบการแสดงนาฏศิลป์อินเดียอีกด้วย
ราคาของVeena ก็อยู่ที่ประมาณหมื่นกว่ารูปีขึ้นไป
ข้อมูลจาก
www.google.com
http://chandrakantha.com/articles/indian_music/saraswati_vina.html
29 มกราคม 2554
ชุดส่าหรี(sari)
การแต่งกายของคนอินเดียมีความหลากหลาย ชุดส่าหรีถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิงอินเดีย จะเรียกว่าเป็นชุดประจำชาติก็ว่าได้ เมื่ออยู่อินเดียเราจะเห็นได้เลยว่า ผ้าที่มีความยาวประมาณ 6-9หลา และกว้างประมาณ 1เมตรนั้น ผู้หญิงอินเดียใช้สวมใส่กันในชีวิตประจำวันตั้งแต่ไม่ว่าจะเป็นใส่อยู่ที่บ้าน ใส่ทำงาน แม้แต่ใส่ชุดส่าหรีทำนา จริงๆ!เค้าใส่ทำนากันเลย เห็นแล้วก็คิดอยู่ในใจว่าเค้าใส่ทำนาได้ยังไงหนอ ทั้งยาวทั้งลุ่มล่ามแต่คงเป็นเพราะความคุ้นเคย ผู้หญิงอินเดียจึงใส่ชุดส่าหรีทำกิจวัตรประจำวันได้สะดวก ชุดเจ้าสาวของผู้หญิงอินเดียก็ใช้ชุดส่าหรีที่มีลายปักประดับประดาอย่างสวยงาม ผู้หญิงอินเดียใส่ชุดส่าหรีกันทุกฤดูกาล ทั้งหน้าร้อน หน้าหนาว และหน้าฝน ราคาของส่าหรีขึ้นอยู่กับชนิดของผ้า และการตกแต่งลวดลาย มีตั้งแต่ราคาผืนละไม่ถึงร้อยไปจนถึงราคาผืนละเป็นแสนแล้วแต่กำลังซื้อและโอกาสที่ใช้ของผู้สวมใส่
แต่ชุดส่าหรีเราไม่ได้ใช้แค่ผ้าส่าหรีผืนยาวๆเพียงผืนเดียว ข้างในยังต้องใส่เสื้อรัดรูปเอวลอย และกระโปรงซับในด้วย ซึ่งอาจจะขายแยกกับผ้าส่าหรี เท่าที่เคยเห็นเสื้ออาจมีขายแบบสำเร็จรูปและมีแบบสั่งตัดที่ร้านตัดเสื้อของผู้หญิงเพื่อให้ได้ขนาดพอดีกับรูปร่างของผู้สวมใส่ ส่วนกระโปรงซับในก็เช่นเดียวกัน ทั้งเสื้อและกระโปรงซับในที่ใช้อาจจะใช้ให้สีใกล้เคียงกับส่าหรี หรือแบบที่สีตัดกันเพื่อเวลาสวมใส่จะได้ดูสวยงามยิ่งขึ้นตามความเหมาะสมของผู้สวมใส่
วิธีการใส่ชุดส่าหรี
แต่ก็แปลกตรงที่ว่าผู้หญิงอินเดียใส่สาหรีเห็นพุงนิดหน่อยแต่ดูไม่โป๊เลย
ชุดส่าหรีในรูปแบบชุดแต่งงาน
รูปภาพจาก
www.google.com
ชุดอินเดีย...Salwar Kameez
นอกจากชุดส่าหรี ที่เป็นที่นิยมและคนทั่วโลกรู้จักกันดีว่าเป็นเอกลัษณ์ของการแต่งกายของผู้หญิงชาวอินเดีย ก็ยังมีชุดอินเดียแบบอื่นๆที่ผู้หญิงอินเดียนิยมใส่โดยจะเห็นได้ทั่วไปในแถบภาคเหนือของอินเดียคือชุด Salwar Kameez
ชุด Salwar Kameez ประกอบด้วย
ชุดอินเดียประเภทนี้ก็เป็นที่นิยมกันมาก จะใส่กันทั่วไปโดย และใช้เป็นเครื่องแบบของชุดนักเรียน ทั้งระดับมัธยมศึกษา(จะเป็นเครื่องแบบของทางโรงเรียนเหมือนบ้านเรา) และระดับมหาวิทยาลัยใส่ได้หลากสีตามใจชอบ
มาเรียนที่อินเดียช่วงแรกๆต่างชาติที่มาเรียนใหม่ยังไม่ค่อยกล้าใส่ ใส่แต่เสื้อแบบอินเดียแต่นุ่งกางเกงยีนส์ และด้วยวัฒนธรรมการแต่งกายของอินเดียในเรื่องชุดประจำชาติของคนอินเดียยังคงเป็นเอกลัษณ์ที่คนอินเดียยังใช้กันอยู่ทั่วไป เราเองซึ่งเป็นชาวต่างชาติคนนึงที่มาเรียนที่นี่จึงจำเป็นต้องใส่ชุดอินเดียไปเรียนด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าต้องใส่ทุกวันที่เข้าเรียนถือว่าเป็นมารยาทไปซะแล้ว ชุดอินเดีย ทั้งส่าหรี ทั้งSalwar Kameezมีวางขายอยู่ตามร้านขายเสื้อผ้าทั่วไป บนห้างก็มี จะซื้อเป็นชุดครบเซทก็อยู่ที่ราคาประมาณ200รูปีไปจนถึงหลักพันกว่ารูปี หรือจะซื้อแยกชิ้นก็มี แต่หลักการซื้อแยกชิ้นก็คือ ต้องให้กางเกงกับผ้าพันคอเป็นสีเดียวกัน
รูปภาพจาก
www.google.com
28 มกราคม 2554
ขำๆในห้องเรียนนาฏศิลป์อินเดีย ตอน...เป้าแตก
คงด้วยความโชคดีซะเหลือเกิน ที่บังเอิญในชั้นนาฏศิลป์อินเดียในรุ่นเดียวกันมีต่างชาติเพียงคนเดียว คือ เราเอง ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูจะเป็นที่ สนใจ ในความแปลกผสมกับความเปิ่นอยู่เป็นประจำ แต่โชคยังดีที่ครูและเพื่อนๆแขกให้ความเป็นกันเองเป็นอย่างดี บรรยากาศเลยดูอบอุ่น(เหมือนกลับไปเข้าเรียนตอนม.1ที่อ่างทองเลย)ครูเป็นผู้ชายสูงวัยแต่ใจดีมากบนใบหน้าของครูจะมีแต่รอยยิ้มเสมอ ครูสอนเป็นภาษาอังกฤษปนฮินดี ดังนั้นเราก็จะพอรู้ภาษาฮินดีนิดหน่อยเพราะต้องฟังคำสั่งให้ออกว่าครูสั่งอะไร นอกจากเวลาที่ครูจะบอกอะไรกับต่างชาติอย่างเราครูก็จะบอกเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อนในห้องก็จะมีทั้งพูดอังกฤษได้และไม่ได้แต่สิ่งที่สร้างสัมพันธ์ได้ดีอีกอย่างก็คือ รอยยิ้ม เพื่อนที่คุยภาษาอังกฤษได้ก็มาคุยด้วยชนิดที่ว่าเมาส์แตกเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้เข้าเรียนนาฏศิลป์อินเดียมาได้ระยะหนึ่งก็มีเหตุการณ์ขำๆเกิดขึ้นมากมาย เช่น เรื่องเป้ากางเกงแตกในห้องเรียน วันนั้นก็เข้าเรียนตามปกติ ทำท่ารำต่างๆตามจังหวะที่ครูเคาะให้จนใกล้จะหมดชั่วโมง ครูก็ลุกขึ้นพร้อมกับบอกว่าจะต่อท่าใหม่ให้ และแล้วครูก็สาธิตท่าให้ดูก่อนหนึ่งครั้งก่อนที่จะให้นักเรียนทำตาม พอครูทำเสร็จ ครูบอก...เริ่มได้ พอสิ้นเสียงครูสั่งก็มีเสียง แคว้ก!!!ดังขึ้น เสียงถึงแม้จะไม่ดังมากแต่ก็ดังพอที่จะได้ยินกันทั่วห้องแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเสียงอะไร พอสิ้นเสียงนั้นทุกคนก็มองมาตรงจุดเดียว แล้วก็มีเสียงนึงถามว่า Are you o.k.?เราก็เลยยิ้มแล้วตอบเพื่อนไปว่า Yes.มองไปที่ครู ครูก็อมยิ้มเหมือนจะขำแต่คงเกรงใจกลัวต่างชาติจะอายเพื่อน ตอนนั้นนึกในใจว่า...ตูดขาดรึเปล่าเนี่ย แต่โชคดีที่เสื้อสไตล์แขกแบบที่ใส่เรียนจะยาวเกือบคลุมเข่ายังไงๆก็คงไม่โป๊ ก็ยังอุตส่าห์ทำท่าตามครูสั่งจนหมดชั่วโมง เฮ้อ...ทำท่าเดียวเหมือนกันทุกคนทำไมเราเป้าแตกคนเดียวอ่ะ กลับมาดูที่บ้าน อ่อ...โชคดีเป้าไม่แตก แค่ปริ เท่านั้นเอง
ท่าที่ครูสาธิตให้ดูในวันนั้นคือครูให้นั่งยองๆแยกขา มือประสานกัน แขนทั้งสองตึง อยู่ระดับหน้าอก พร้อมกับกระโดดและนับ 1-20 แค่เนี้ยกางเกงขาดซะดังเลย โธ่เอ๋ย กางเกงเจ้ากรรมอุตส่าห์ไปถอยมาจากห้าง ไม่ไว้หน้าเจ้าของบ้างเลย เอาไปให้ลุงช่างเย็บผ้าซ่อมให้ ลุงถามซื้อมาจากไหน สวยดี นี่ยังดีนะเค้าเย็บสองชั้น ไม่งั้นคงจะขำไม่ออกไปอีกนานเลย
รูปจาก
http://www.google.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)